เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ชีวิตก่อรูปเป็นความเปลี่ยนแปลง
ไม่ว่าจะถูกตีตราว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่
หรือถูกตราหน้าว่าเป็นคนที่ไร้เกียรติในสังคม
แต่สุดท้ายทุกชีวิตก็จะกลับคืนสู่ดิน
หรือกลายเป็นธาตุธุลีเล็กๆ ที่วันหนึ่งก็จะถูกลืม
โดยมีความตายเป็นจุดจบของชีวิตทางร่างกายที่ได้มา
ท่ามกลางการเกิด แก่ เจ็บ ตายที่กำลังหมุนไปอยู่ทุกขณะ มีสิ่งหนึ่งที่น่าตกใจในชีวิตของเรา คือความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน ซึ่งนับวันจะลุกลามเป็นเชื้อโรคร้ายที่ยากจะเยียวยา
สิ่งที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตร่วมกันก็คือ เราไม่สามารถสัมผัสกับความสุขที่มอบให้แก่กันได้เลย หน้ากากที่ไม่ต้องการจะสวมใส่ จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่คนเราเริ่มถามหา เราจึงเรียกคนเดี๋ยวนี้ว่า "ชอบสวมหน้ากากเข้าหากัน" ซึ่งอยู่ที่ว่าใครจะมีหน้ากากที่มีรูปลักษณ์อย่างไร
บางคนมีใบหน้าที่สวยงาม เราก็ยอมรับว่าเขาดูดีในขณะที่สวมบทบาทนั้น แต่บางคนก็ปรากฏกายในรูปของปีศาจร้าย จึงทำให้เกิดภาพที่ติดอยู่ในความรู้สึกว่าเขาเป็นคนไม่ดี
แต่เมื่อสรุปที่ความเป็นหน้ากากแล้ว ก็มีคำตอบอยู่ที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากที่สวยงามหรือคล้ายปีศาจร้าย แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาก็ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริงของคนเราอยู่ดี
เมื่อความจริงไม่ถูกเปิดเผย สิ่งที่ได้รับจากบุคคลรอบข้างก็จัดว่าเป็นความหลอกลวงเช่นเคย ซึ่งเป็นภาพของเชื้อโรคร้ายที่นับวันจะแผ่ขยาย หากเราไม่ช่วยกันทำลายให้หมดไป
อย่างไรก็ดี ถ้ารู้จักมองในมุมที่ก่อให้เกิดคุณค่าร่วมกัน รู้จักมองความจริงแล้วทำให้ความหยิ่งในใจลดลง สัจธรรมของชีวิตฟ้องให้รู้ว่า ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม หนึ่งชีวิตที่ได้มานั้นช่างสั้นนัก เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของสรรพสิ่งที่หมุนเวียนมาเจอกัน
แต่ไฉนเล่า เราจึงชอบมองคนอื่นด้วยสายตาที่เหยียดหยามหมิ่นแคลน โดยไม่รู้จักมองด้วยความเมตตาอารีที่มีต่อกัน เพราะชีวิตช่างสั้นเกินกว่าที่จะตะโกนบอกใครว่า "เรานี่แหละจะอยู่ค้ำฟ้าได้"
เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ชีวิตก่อรูปเป็นความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะถูกตีตราว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ หรือถูกตราหน้าว่าเป็นคนที่ไร้เกียรติในสังคม แต่สุดท้ายทุกชีวิตก็จะกลับคืนสู่ดิน หรือกลายเป็นธาตุธุลีเล็กๆที่วันหนึ่งก็จะถูกลืม โดยมีความตายเป็นจุดจบของชีวิตทางร่างกายที่ได้มา
ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องกลับมาทบทวนชีวิตครั้งใหม่ของเราทุกคนว่า โลกที่อยู่อาศัยร่วมกันนี้ เราจะอยู่แบบญาติดีหรือจะข่มเหงบีฑาต่อกันอย่างไม่มีวันจบ ?
เราควรถามตัวเองให้มากขึ้นว่า เบียดเบียนกันแล้วได้อะไรขึ้นมา หรือเป็นเพียงต้องการเอาชนะกันเท่านั้น ?
แต่สุดท้ายไม่ว่าใครจะเป็นผู้แพ้หรือชนะ ทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ ล้วนชื่อว่าเป็นผู้แพ้ด้วยกันทั้งสิ้น เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนกระทบถึงกัน
แต่ถ้าทำความเข้าใจชีวิตให้รอบด้าน เราจะเริ่มเข้าใจว่าระหว่างการทะเลาะเบาะแว้งแล้วก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการรักษามิตรภาพที่ได้มานี้ สิ่งไหนมนุษย์ตัวน้อยๆ เช่นเราควรทำมากกว่ากัน ? เป็นการสร้างคำถาม เพื่อตอบให้กระจ่างอย่างคนที่มีเยื่อใยในชีวิตบ้าง ก่อนที่จะต้องโบกมือลาโลกนี้ไป แม้อาจจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
โปรดถามตัวเองให้มากว่า ทะเลาะกันแล้วเราได้อะไรเพิ่มขึ้นบ้าง นอกจากความโหดร้ายที่กลายเป็นเครื่องมือประหัตประหารพวกเราเอง ?
และสุดท้ายเราเหลืออะไรที่สามารถเก็บไว้เป็นที่ระลึก แล้วทำให้ชีวิตภูมิใจในการเกิดมาบ้าง ? คำตอบอยู่ที่ใจของเราทุกคน
มีชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ชอบนำดอกไม้มาบูชาพระที่วัดเป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่เขากำลังหอบหิ้วดอกไม้และผลไม้ เพื่อมาถวายพระเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
ทันทีที่เขาเดินมาถึงประตูวิหาร ก็มีชายคนหนึ่งวิ่งมาชนเข้าอย่างจัง ทำให้ดอกไม้และผลไม้ร่วงกระจัดกระจายไปทั่วพื้น เขาจึงพูดโต้ตอบไปด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวว่า
"ทำไมไม่ดูตาม้าตาเรือซะมั้ง เห็นไหมดอกไม้และผลไม้ร่วงหมดแล้ว"
"ฉันขอโทษที่ไม่ทันระวัง" ชายผู้วิ่งมาชนกล่าวคำขอโทษ
"ขอโทษแล้วมันได้อะไรขึ้นมา"
"ก็ฉันไม่ทันระวัง และก็ขอโทษแล้ว ถ้าไม่ให้อภัยแล้วท่านจะทำอย่างไรล่ะ"
พอชายคนที่วิ่งมาชนพูดไม่ให้เกียรติแก่ตน ยิ่งทำให้ชายผู้ถือดอกไม้และผลไม้โมโหยิ่งขึ้น ทั้งสองจึงเกิดการต่อปากต่อคำกันด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวมากกว่าเดิม
ในขณะที่ทั้งสองกำลังเถียงกันอยู่นั้น หลวงพ่อเจ้าอาวาสก็เดินผ่านมา เห็นต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมที่จะให้อภัยหรือยอมความ จึงถามถึงเหตุที่ทำให้ทั้งสองทะเลาะกัน พอทราบรายละเอียดทั้งหมดแล้ว จึงกล่าวเตือนสติว่า
"การวิ่งไปชนคนอื่นนั้น เป็นเรื่องไม่สมควร ส่วนการที่คนอื่นขอโทษแล้วไม่รู้จักให้อภัย ก็เป็นเรื่องไม่สมควรเช่นเดียวกัน การแสดงออกทั้งสองลักษณะนี้ เป็นนิสัยของคนที่ไร้สติ แต่การรู้จักยอมรับความผิดด้วยความจริงใจ และการรู้จักให้อภัยที่มาจากใจ ทั้งสองอย่างนี้เป็นนิสัยของผู้มีปัญญา"
เมื่อคนทั้งสองได้ฟังคำเตือนของหลวงพ่อ จึงได้ยุติการทะเลาะกัน และก้มหน้ารับฟังคำสอนจากท่าน ด้วยความรู้สึกสำนึกผิดต่อการกระทำที่ตัวเองแสดงออกไป เมื่อหลวงพ่อเห็นว่าทั้งคู่สงบสติอารมณ์ได้แล้ว จึงกล่าวให้ข้อคิดว่า
"คนเราเกิดมาชีวิตหนึ่งนี้ มีหลายอย่างที่ต้องทำอีกเยอะ เช่นการรู้จักปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง และมิตรสหายผู้เป็นที่รักของเรา แม้ในด้านเศรษฐกิจ ก็ควรรู้จักระมัดระวังในการจับจ่าย ในด้านครอบครัว ก็ต้องรู้จักรักษาน้ำใจต่อบุคคลที่อาศัยอยู่ด้วยกัน ในด้านจิตใจ ก็ควรรู้จักอบรมจิตใจของตนให้สูงยิ่งขึ้น ต้องรู้จักสร้างอุดมการณ์ที่มีความดีเป็นเครื่องประดับชีวิต ถ้าทำได้เช่นนี้ ชีวิตที่เกิดมาจึงชื่อว่ามีคุณค่าในตัวเอง เพราะถ้าคิดดูให้ดี การที่เรามาทะเลาะกันเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย กลับทำลายความดีที่มีอยู่ในจิตใจของตนเองแล้ว มันเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าเลย รังแต่จะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้นเอง"
แล้วเราล่ะ... เรียนรู้ที่จะให้ชีวิตหนึ่งที่ได้มาเพียงน้อยนิดนี้อย่างคนที่เห็นคุณค่าของตัวเองหรือยัง ? ทุกอย่างเริ่มต้นได้ หากเรารู้จักทบทวนความผิดพลาดที่แล้วมา และรู้จักแก้ไขอย่างคนที่รักตัวเองมากกว่าเดิม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
จากหนังสือชีวิตวันนี้ที่วุ่นวายมีที่พักใจหรือยัง
โดย: ชุติปัญโญ
ภาพประกอบจาก Kapook.com