นักวิชาการ เครือข่ายสันติประชาธรรม" ออกแถลงการณ์ขอให้ "นปช.-พธม.-สล้าง" ทำ"3หยุด"ลดวิกฤตการเมือง
นักวิชาการ "เครือข่ายสันติประชาธรรม" ชี้สังคมไทยตกอยู่ในภาวะตึงเครียด ออกแถลงการณ์รณรงค์"3 หยุด" ให้ทุกฝ่าย "นปช.-พันธมิตร-กลุ่มสล้าง" หยุดนำมวลชนมาปะทะกัน หยุดนำประเทศไปสู่อนาธิปไตยและการรัฐประหาร หยุดดึงสถาบันยุ่งเกี่ยวการเมือง
"เครือข่ายสันติประชาธรรม" ซึ่งประกอบด้วยคณาจารย์ นักศึกษา องค์กรพัฒนาเอกชน นำโดย นายธเนศ อาภรณ์สุวรรณ คณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ออกแถลงการณ์ และร่วมกันแถลงข่าว "หยุดนำมวลชนมาปะทะกัน! หยุดให้ท้ายพันธมิตร! หยุดนำประเทศไปสู่อนาธิปไตยและการรัฐประหาร" ที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 26 ตุลาคม
ทั้งนี้ นายประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้อ่านแถลงการณ์รณรงค์ 3 หยุด มีใจความว่า ขณะนี้สังคมไทยกำลังตกอยู่ในภาวะตึงเครียด อันเป็นผลมาจากการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายต่างๆ จนทำให้เกิดความเชื่อโดยทั่วไปว่า สังคมไทยคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะนองเลือดระหว่างประชาชนสองขั้วได้
จึงขอเรียกร้องต่อฝ่ายต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. หยุดนำมวลชนมาปะทะกัน! ขอเรียกร้องให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และกลุ่ม พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ยุติการเคลื่อนไหว ด้วยวิธียั่วยุให้เกิดความเกลียดชังและโกรธแค้นซึ่งกันและกัน และยุติการเคลื่อนมวลชนออกจากที่ตั้งของตน หากประชาชนบาดเจ็บและล้มตาย ผู้นำพันธมิตร นปช. และ พล.ต.อ.สล้างต้องรับผิดชอบ
2. หยุดให้ท้ายพันธมิตร! สาเหตุสำคัญที่ทำให้วิกฤตการเมืองในขณะนี้เดินมาสู่ "ทางตัน" คือผู้นำฝ่ายพันธมิตรปฏิเสธไม่ยอมเจรจากประนีประนอมทางการเมือง แต่ยืนยันที่จะใช้วิธีการแตกหัก การเมืองใหม่ของกลุ่มพันธมิตรคือ เผด็จการของคนส่วนน้อย ข้อเสนอของกลุ่มพันธมิตรที่ให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจแต่งตั้งผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพโดยตรง คือการดึงสถาบันให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง จะส่งผลต่อความมั่นคงของสถาบันในระยะยาว ทั้งนี้ นักวิชาการ องค์กรสิทธิมนุษยชน วุฒิสมาชิก และสื่อมวลชน ต้องกล้าวิจารณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตร ฝ่ายรัฐบาล และ นปช. อย่างเท่าเทียมกัน
3. หยุดนำประเทศไปสู่อนาธิปไตยและการรัฐประหาร เรียกร้องให้แก้ไขความขัดแย้งต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ ไม่ใช่ด้วยอาวุธและความรุนแรง หากเกิดรัฐประหารอีกครั้งจะนำประเทศไปสู่หายนะ และผู้นำรัฐประหารต้องรับผิดชอบหากเกิดจลาจลและการนองเลือดของประชาชน
ด้าน นายพรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) กล่าวว่า เกี่ยวกับคำสั่งศาลปกครองให้คุ้มครองชั่วคราวการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร มีแง่มุมหนึ่งที่ไม่ค่อยถูกนำเสนอที่วินิจฉัยว่า การชุมนุมไม่สงบและไม่ปราศจากอาวุธ ศาลวินิจฉัยว่าการชุมนุมปิดล้อม เป็นการชุมนุมเกินขอบเขต ขัดขวางการบริหารแผ่นดินและจัดทำบริการสาธารณะ อยากให้พันธมิตรตระหนักตรงนี้ และอยากให้หยุดใช้ มาตรา 63 อย่างพร่ำเพรื่อ เพราะหากเป็นการชุมนุมไม่สงบ และไม่ปราศจากอาวุธเจ้าหน้าที่สามารถเข้าสลายการชุมนุมได้ตามลำดับจากเบาไปหนัก
ส่วนนายอภิชาต สถิตนิรามัย อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การเมืองไทยขณะนี้แบ่งเป็น 2 ขั้วชัดเจน แต่ทั้งกลุ่มพันธมิตร และ นปช.ก็มีผู้สนับสนุนที่ไม่ได้ต้องการความสุดโต่ง คืออาจจะเห็นด้วยเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่เพราะแกนนำไม่กี่คนที่ใช้วิธีแตกหัก ไม่ยอม ไม่คุย ไม่ฟัง จึงนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหญ่ ถึงเวลาแล้วที่ต้องดึงเอาพลังของคนที่ไม่สุดโต่งออกมา เพื่อไม่ให้ผู้นำที่สุดโต่งไม่กี่คนนี้นำพาไปสู่ความรุนแรง นักวิชาการ สื่อมวลชน ก็ต้องกล้าวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำสุดโต่งอย่างชัดเจน ถึงจะกำจัดการเมืองแห่งความสุดโต่งนี้ได้
นางพวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การที่กลุ่มพันธมิตรเรียกร้องให้ทหารออกมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง คือเงื่อนไขของการรัฐประหาร ทหารไม่ได้ฝึกมาให้จัดการกับการจัดการการชุมนุมอย่างสันติ แต่ฝึกให้มาปราบปราม ฝึกการรบ แต่มาถูกพันธมิตรกดดัน หากทหารออกมาก็อาจปะทะกับตำรวจ เกิดการนองเลือดขึ้นได้ ฝ่ายตำรวจเองก็ต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าร่วมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อย่านำมวลชนมาปะทะกัน
นายธเนศ อาภรณ์สุวรรณ คณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สถานการณ์ตอนนี้ ในหลายๆ ประเทศทั่วโลก มีการแตกตัวของอำนาจเดิม ทำให้อำนาจรัฐถูกท้าทาย ประเทศมหาอำนาจเก่าอาจยังคงรักษาอำนาจเดิมไว้ได้ แต่ประเทศโลกที่ 3 เกิดความระส่ำระส่าย ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์สากลนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่กลุ่มคนที่มีความเชื่อต่างกัน ออกมาอธิบายความชอบธรรมของตนเอง ไม่มีอำนาจรัฐควบคุม หรืออยู่ฝ่ายใด สงครามอุดมการณ์ครั้งนี้ทำให้อำนาจรัฐหงิก เป็นสงครามที่ยืดเยื้อจนกว่าจะถึงจุดที่อำนาจรัฐลงมา และดูว่าจะอยู่ฝ่ายไหนที่จะทำให้เกิดความชอบธรรม แต่สิ่งที่จะตามมาอย่างแน่นอนคือ ระบบโครงสร้างใหม่ที่เปลี่ยนไป
วันเดียวกัน นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองขณะนี้ว่า ว่าประเทศกัมพูชา ในยามที่มีวิกฤตทำสงครามเข่นฆ่ากันมาร่วม 20 ปี แต่เมื่อบ้านมีปัญหา เขาก็เอาบ้านเมืองเขาก่อน แม้แต่มีนายกรัฐมนตรี 2 คน เขายังเอา ดังนั้น ประเทศเราหากปล่อยไว้แบบนี้ เหตุการณ์จะยิ่งรุนแรงกว่า เขมร 3 ฝ่าย เพราะไม่รู้ว่าจะใส่สีอะไร อยู่ฝ่ายไหน และหากประชาชนทนไม่ไหวแล้วจะเยียวยาอย่างไร การที่พันธมิตรบอกว่ายึดทำเนียบรัฐบาลและเป็นผู้ชนะ แล้วยึดสถานที่ราชการที่โน้นที่นี่ ประเทศนี้ไม่เคยมีมาก่อน ถ้าพันธมิตรฯเป็นผู้ชนะ ประเทศไทย ก็เป็นผู้แพ้ เพราะกฎหมายไม่มีแล้ว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ภาพประกอบจาก kapook.com
Wed Oct 15, 2008 10:27 am
